ย้อนกลับ

5 เครื่องมือ AI ช่วยสร้าง Blog SEO กลยุทธ์ใหม่ที่สาย Marketing ห้ามพลาด!

วันที่: 07/03/25
ระยะเวลา: 4 นาที

ปัจจุบันสิ่งที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรามากขึ้นคงหนีไม่พ้นเทคโนโลยี AI ทั้งการเข้ามาเป็นตัวช่วยในการหาข้อมูล การเป็นผู้ช่วยในการแก้ไขปัญหา หรือแม้กระทั่งเข้ามามีบทบาทใน Digital Marketing ซึ่งหนึ่งในขาของการทำ Digital Marketing ก็หนีไม่พ้นเรื่องการทำ Blog SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับและส่งผลให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์เรามากขึ้น แต่การพึ่ง AI ในการเขียนบล็อก 100% อาจทำให้ภาษาบล็อกไม่เฟรนด์ลี่สำหรับผู้อ่าน มาดู 5 เครื่องมือ AI และกลยุทธ์ในการนำไปใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ทำไม AI จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเขียน Blog SEO

ในช่วงก่อนหน้านี้การเขียน Blog SEO แบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการรวบรวมข้อมูล วางโครงสร้างเนื้อหา เขียนเนื้อหาและปรับปรุงเนื้อหาเพิ่มเติมบนหน้าเว็บไซต์ แต่ด้วยการเข้ามาของ AI ทำให้เราสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม การใช้เครื่องมือเหล่านี้ก็ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้น เราจึงต้องรู้จักวิธีการใช้งานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สิ่งที่ AI จะเข้ามาช่วยในการเขียน Blog SEO

  1. วางโครงสร้างบทความได้อย่างมืออาชีพ

การเขียนบทความแต่ละครั้งจะต้องมีการวางโครงสร้างบทความ เพื่อแบ่งหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อย โดยทั่วไปมักจะแบ่งหัวข้อตั้งแต่ H1-H3 ขึ้นไป เพื่อให้เนื้อหาอ่านง่ายและมีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้สามารถแนะนำโครงสร้างบทความที่เหมาะสม สามารถเรียงลำดับหัวข้อ และนำเสนอประเด็นการเขียนที่ครอบคลุมความต้องการได้ ทำให้บทความสมบูรณ์และมีเนื้อหาที่อ่านง่าย ไม่วกไปวนมา

  1. ตั้ง Meta Title และ Meta Description อย่างมีประสิทธิภาพ

การตั้งชื่อ Meta Title (หรือ Page Title) และ Meta Description สำหรับ Blog SEO นั้น Meta Title และ Meta Description เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยอธิบายเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์หรือ Blog ที่เราเขียน โดย AI จะวิเคราะห์เนื้อหาในบทความทั้งหมดและสร้าง Meta Title และ Meta Description ที่กระชับ ดึงดูด ตรงประเด็น ช่วยให้ Google เข้าใจบทความได้ดีขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้ผู้อ่านให้คลิกเข้ามาอ่านบทความของเรามากขึ้น

  1. เขียนเนื้อหาและตั้งชื่อ Headline ที่โดดเด่น

AI สามารถเขียนเนื้อหาบทความจากโครงสร้างเนื้อหาที่วางไว้ได้ด้วย เพียงเราต้องป้อนคำสั่ง (Prompt) จากนั้นระบบก็จะ Generat บทความมาให้ ซึ่งหน้าที่ต่อไปต้องเป็นหน้าที่ของผู้เขียนในการอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาว่ามีความถูกต้องมากหรือน้อยเพียงใด รวมไปถึงมีการตั้ง Headline ที่น่าสนใจแค่ไหน สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาอ่านได้หรือไม่ แล้วนำมาปรับเนื้อหาให้เหมาะสมต่อไป

  1. ให้ข้อมูลใหม่ ๆ ที่คุณอาจจะพลาดไปหรือไม่เคยรู้มาก่อน

เครื่องมือเหล่านี้จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการหาข้อมูลเชิงลึก ในแบบที่เราอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการเขียนบทความ ทำให้เราไม่ต้องไปนั่งอ่านข้อมูลด้วยตัวเอง และทำให้เรามีเนื้อหาที่แตกต่างไปจากผู้อื่น สามารถดึงดูดผู้ใช้ได้มากกว่า

  1. หา LSI Keywords ที่ทำให้ SEO ของคุณแข็งแกร่งขึ้น

การเขียน Blog SEO เพื่อเพิ่มโอกาสติดอันดับบนหน้าแรกของ Google เริ่มจากการเลือก Focus Keyword และ Related Keywords ที่มีปริมาณการค้นหาสูง จากนั้นนำมาใช้ในบทความอย่างเหมาะสม แต่การเพิ่ม LSI Keywords (Latent Semantic Indexing) จะช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ลึกยิ่งขึ้น

LSI Keywords คือคำที่มีความเกี่ยวข้องและอยู่ในหมวดเดียวกับ Focus Keyword เช่น หาก Focus Keyword คือ "การเงิน" คำที่เป็น LSI Keywords จะเป็นคำว่า การลงทุน, การออม, สินเชื่อ, บัญชีเงินฝาก เป็นต้น  ซึ่งจะสังเกตได้ว่าคำจะไม่ได้เป็นคำที่ Related กัน แต่เป็นคำที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน การใช้คำเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความชัดเจนให้กับเนื้อหาและทำให้ Google เข้าใจภาพรวมของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น

5 เครื่องมือ AI ตัวช่วยการเขียนบทความ รองรับภาษาไทย

9f9cd50e-dec0-436f-97f8-8f98508168a6.png

เครื่องมือที่ใช้ในการเขียน Blog SEO มีหลายตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ซึ่งเครื่องมือที่จะช่วยในการเขียน Blog SEO มีดังนี้

1.ChatGPT

ChatGPT เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุมทุกคำสั่ง ซึ่งหากคุณต้องการใช้ ChatGPT ช่วยในการเขียนบทความ เพียงแค่ป้อนคำสั่ง จากนั้นระบบจะสร้างเนื้อหาที่คุณต้องการออกมาได้ทันที นอกจากนี้ ChatGPT รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยระดับภาษาที่ใช้นั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี น่าอ่านและเข้าใจง่าย แต่หากเป็นคำสั่งที่ซับซ้อนมากเกินไปจะทำให้ได้เนื้อหาที่ไม่ค่อยดีนัก

แต่ทั้งนี้ การใช้ ChatGPT ก็ยังมีข้อเสียคือ เนื้อหาที่ได้อาจยังขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับความต้องการหรือ Pain Point ที่แท้จริงของผู้ที่ต้องการข้อมูลและไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงข้อมูลที่ได้มาในบางครั้งก็ไม่ถูกต้อง 100% มีการต่อเติมข้อมูลขึ้นมาเองในบางครั้ง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ที่ต้องการเอาข้อมูลไปใช้ได้

ตัวอย่างบทความจาก ChatGPT :

Body_AI-ChatGPT@3x.png

ตัวอย่างบทความเรื่อง “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” จาก ChatGPT

สามารถทดลองใช้ได้ที่ ChatGPT

2.Claude

Claude เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีคุณภาพและเข้าใจภาษาไทยได้ดีมาก สามารถใช้งานได้ทั้งในรูปแบบฟรีและเสียเงิน โดยเครื่องมือ AI ตัวนี้มีการประมวลผลที่แม่นยำและสามารถสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงสามารถจดจำบริบทของการสนทนาได้ยาวนาน บทความภาษาไทยที่เขียนจาก Claude สามารถอ่านเข้าใจได้ง่ายใกล้เคียงกับการใช้คนเขียน

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของ Claude คือไม่สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลจาก Google ด้วยตัวเองได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด ดังนั้นในการนำข้อมูลมาใช้จึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองเพื่อความถูกต้องทุกครั้ง รวมไปถึงการใช้งานฟรีจะมีข้อจำกัดในการใช้งานซึ่งจำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกแบบ Premium จึงจะสามารถใช้งานได้ต่อ โดยบริการ Claude Pro มีราคาอยู่ที่ประมาณ 735 บาทต่อเดือน

ตัวอย่างบทความจาก Claude : 

Body_AI-Claude@3x.png

ตัวอย่างบทความเรื่อง “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” จาก Claude

สามารถทดลองใช้ได้ที่ Claude

3.Gemini

Gemini เป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนาโดย Google มีความโดดเด่นในเรื่องของการหาข้อมูลจากใน Google และเป็นข้อมูลที่อัปเดตที่สุด สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบทั้งการหาข้อมูล การวางโครงเรื่องบทความ การเขียนบทความข่าว บทความวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการร่างบทความเบื้องต้นเพื่อให้เราสามารถเอามาปรับปรุงบทความต่อได้  สิ่งที่ทำให้ Gemini โดดเด่นจากเครื่องมือตัวอื่น ๆ คือสามารถประมวลผลข้อมูลจากไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้ ทั้งจากรูปภาพหรือจากลิงก์เว็บไซต์ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งเขียนเนื้อหาสรุปด้วยตัวเอง 

ส่วนของข้อเสียของ Gemini ที่พบบ่อยจากการที่ให้ช่วยสร้างบทความ พบว่าไม่สามารถสร้างบทความที่มีเนื้อหายาว ๆ ได้ ส่วนใหญ่จะสร้างเป็นชุดข้อมูลเนื้อหาสั้น ๆ ผู้เขียนต้องมาเพิ่มเติมเนื้อหาและปรับระดับภาษาด้วยตัวเอง และในบางครั้งที่คำสั่งหรือ Prompt มีความซับซ้อนเกินไปข้อมูลที่ได้มาจะยังไม่ถูกต้องแบบ 100% และจะได้ชุดข้อมูลภาษาไทยที่ไม่ค่อยแข็งแรง 

ตัวอย่างบทความจาก Gemini :

Body_AI-Gemini@3x.png

ตัวอย่างบทความเรื่อง “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” จาก Gemini

สามารถทดลองใช้ได้ที่ Gemini

4.Copy.ai

Copy.ai เป็นอีกหนึ่งตัวที่มีความสามารถในการเขียนบทความภาษาไทยได้แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพ หากใช้งานภาษาอังกฤษจะได้ประสิทธิภาพสูงกว่ามาก โดย Copy.ai ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการเขียน แต่ยังสามารถกำหนด Brand Vice ในบทความได้ตามต้องการ อยากให้โทนของข้อความเป็นลักษณะไหนสามารถกำหนดได้เลย รวมถึงมี Team Spaces ที่สามารถแชร์ข้อมูลร่วมกันและทำงานรวมกันภายในทีมได้อีกด้วย

ซึ่งข้อเสียที่พบบ่อยจากการใช้งาน Copy.ai ที่เห็นได้ชัดคือการใช้งานภาษาไทยยังไม่มีความเป็นธรรมชาติ ข้อความมีการสะกดผิด เรียบเรียงคำไม่ดี และข้อมูลที่ได้มานั้นไม่ได้แสดงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล ทำให้เนื้อหาไม่มีความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร ผู้เขียนจึงต้องหาข้อมูลด้วยตัวเองประกอบไปด้วย และอีกหนึ่งข้อเสียคือการใช้งานแบบฟรีจะจำกัดการใช้งานที่ 2,000 คำต่อเดือนเท่านั้น 

ตัวอย่างบทความจาก Copy.ai :

Body_AI-copy-ai@3x.png

ตัวอย่างบทความเรื่อง “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” จาก Copy.ai

สามารถทดลองใช้ได้ที่ Copy.ai

5.Perplexity

Perplexity เป็นเครื่องมือที่ผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับการค้นหาข้อมูลเชิงลึก ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการสรุปเนื้อหาและค้นหาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อนำมาสนับสนุนการเขียนบทความ ไม่ว่าจะเป็นการสรุปข้อมูลจากเว็บไซต์หรือจาก Video ใน YouTube เพียงแค่ป้อน URL ระบบจะช่วยดึงประเด็นสำคัญออกมาให้พร้อมใช้งาน

โดยข้อเสียของ Perplexity นั้น แม้ว่าข้อมูลที่ได้มาระบบจะแสดงแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างชัดเจน แต่ข้อมูลที่ได้มาอาจจะมีความล้าสมัยหรือได้ข้อมูลที่เก่าเกินไป จึงอาจจะทำให้ได้เนื้อหาที่ไม่อัปเดตล่าสุด รวมถึงบทความที่เขียนจะไม่มีการสร้าง Headline ทำให้เนื้อหาดูไม่น่าสนใจ ดูไม่เป็นมืออาชีพ ผู้เขียนจึงต้องนำข้อมูลมาปรับแต่งเนื้อหาด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

ตัวอย่างบทความจาก Perplexity :

Body_AI-Perplexity@3x.png

ตัวอย่างบทความเรื่อง “ปัญหาฝุ่น PM 2.5” จาก Perplexity

สามารถทดลองใช้ได้ที่ Perplexity

จากรูปภาพตัวอย่างบทความข้างต้นที่ทาง Metier Thailand ได้ทดลองใส่คำสั่งให้แต่ละเครื่องมือเขียนบทความเกี่ยวกับ “ฝุ่น PM 2.5” พบว่า แต่ละเครื่องมือให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป บางเครื่องมือสร้างข้อมูลออกมาเป็น Bullet Point ในขณะที่บางเครื่องมือให้ข้อมูลออกมาเป็น Paragraph พร้อมเนื้อหาที่มีการบรรยายและหัวข้อที่น่าสนใจ ความแตกต่างนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละเครื่องมือและวิธีการป้อนคำสั่ง (Prompt) จากผู้ใช้งานด้วย ยิ่งป้อนคำสั่งหรือวัตถุประสงค์ได้ชัดเจนเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังสังเกตได้ว่าบทความที่ได้มาบางเครื่องมือจะมีเนื้อหาสั้นเกินไปและไม่ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการทำ SEO เนื่องจาก Blog SEO ที่ดีควรมีความยาวเนื้อหามากกว่า 1,000 คำขึ้นไป ดังนั้น การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการเขียนบทความจะมีประโยชน์มากที่สุดในแง่ของการช่วยหาข้อมูลประกอบการเขียน และเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ส่วนการเรียบเรียงเนื้อหาและการพัฒนาบทความให้มีคุณภาพนั้นยังคงต้องพึ่งพาผู้เขียนในการทำงานให้สมบูรณ์แบบ

“จะใช้ AI กี่ตัว ก็ยังต้องให้มนุษย์ตรวจสอบความถูกต้องเสมอ เพื่อให้งานสมบูรณ์แบบ”

ทั้งนี้ หากจะให้การเขียนเนื้อหามีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรบูรณาการการทำงานของเครื่องมือต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น เริ่มต้นการทำงานโดยการค้นหาข้อมูลและวางแผนเนื้อหา โดยการใช้ Perplexity หรือ Gemini ที่เก่งในการหาข้อมูลจาก Sources หลาย ๆ แหล่ง เพื่อมาจัดทำโครงสร้างเนื้อหา อีกทั้งเครื่องมือทั้งสองตัวนี้ยังมีฟีเจอร์ ‘คำถามที่เกี่ยวข้อง’ ที่แสดงหัวข้อคำถามอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเรา เพื่อให้ผู้เขียนสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมจากที่โปรแกรมเสนอมา บางคำถามอาจจะช่วยต่อยอดมาเป็นหัวข้อบทความที่น่าสนใจได้อีกด้วย

ส่วนในขั้นตอนการสร้างบทความอาจจะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาให้ ChatGPT จัดทำโครงสร้างบทความให้สอดคล้องกับเทคนิคการทำ SEO  และอาจจะให้ ChatGPT แนะนำการวาง Keyword ในบทความและช่วยปรับ Headline ให้น่าสนใจ ส่วนขั้นตอนในการปรับแต่งภาษาและสไตล์การเขียน สามารถให้ Claude ปรับภาษาให้เป็นธรรมชาติ อ่านง่าย และมีความลื่นไหล 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Copy.ai ในการ ปรับ Tone of Voice ให้ตรงกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ ด้วยฟีเจอร์ Brand Voice ได้ด้วย พร้อมเสนอแนะการปรับ Headline ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าเนื้อหาบทความและคำสั่งควรเป็นภาษาอังกฤษจะดีที่สุด อีกทั้งเราก็ยังสามารถสร้าง Team Spaces บน Copy.ai สำหรับงานอื่น ๆ ที่ต้องทำกันเป็นทีม ซึ่งการผสมผสานการใช้งานหลายตัวเช่นนี้ จะช่วยให้ได้บทความที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ทั้งผู้อ่านและ Google แต่ผู้เขียนต้องไม่ลืมว่า สิ่งสำคัญคือต้องมีการตรวจสอบ แก้ไข และกลั่นกรอง โดยผู้เขียนเป็นขั้นตอนสุดท้ายเสมอ

รู้ก่อนใช้! 3 ข้อจำกัดสำคัญของการใช้ AI เขียน Blog SEO

1. ข้อมูลที่ได้อาจไม่ตรงกับความจริง 100%

แม้ว่าเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้งานของเราง่ายขึ้นและรวดเร็ว แต่ข้อมูลที่ให้มาบางครั้งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง หรืออาจมีข้อผิดพลาดเนื่องจากข้อจำกัดของระบบ ดังนั้นหากคุณต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ควรป้อนคำสั่งให้ AI แนบแหล่งที่มาของข้อมูลมาให้ด้วย เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องจากแหล่งที่มาและหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ผิดพลาด

2.ภาษายังขาดความเป็นธรรมชาติ

เนื้อหาบทความที่ AI สร้างขึ้นมักจะมีระดับภาษาที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะในภาษาไทย การเลือกใช้คำและการเรียบเรียงประโยคอาจทำให้เนื้อหาดูขาดความลื่นไหลและไม่เป็นธรรมชาติ เช่น อาจมีคำซ้ำซ้อนหรือไม่ตรงตามบริบท ดังนั้น การใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำ SEO จึงต้องมีการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับสไตล์การอ่านของผู้ใช้งาน และเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เนื้อหามีคุณภาพและตอบโจทย์ในการจัดอันดับบน Google

3.ใช้ AI ให้เป็นเพียงตัวช่วยในการทำงาน

เครื่องมือ AI ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยงาน ไม่ควรพึ่งพาอย่างสมบูรณ์ เพราะว่ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนได้หรือเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในทุก ๆ บริบทได้ดีเสมอไป ดังนั้น ควรใช้ควบคู่ไปกับความรู้ที่ผู้เขียนศึกษามาเองด้วย เพื่อให้เนื้อหามีคุณภาพและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด AI ควรเป็นเพียงตัวช่วยในการสร้างไอเดีย หรือเริ่มต้นเนื้อหาครั้งแรกเท่านั้น

ใช้อย่างโปร เพิ่มประสิทธิภาพบทความ SEO แบบก้าวกระโดด

unknown nodeการนำ AI มาช่วยในการทำ SEO ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการทำ Digital Marketing ด้วยการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหาข้อมูลและการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาใน Google ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ AI ควรคำนึงถึงข้อจำกัดต่าง ๆ อย่างเช่น ความเป็นธรรมชาติ และความเหมาะสมในการนำมาใช้ จึงควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมที่ช่วยในกระบวนการเขียนบทความ พร้อมทั้งต้องปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมและมีความน่าสนใจต่อผู้อ่านอยู่เสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของ SEO

การทำ SEO อาจดูง่ายเมื่อมี AI เข้ามาช่วย แต่ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก หากธุรกิจของคุณต้องการผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกและต้องการเพิ่มยอดขาย Metier Thailand รับทำ SEO สายขาวแบบครบวงจร เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ

*ภายใน 90 วัน เริ่มเห็นผลลัพธ์บน Google* ติดต่อเราตอนนี้ได้เลย!

พูดคุยกับเราได้ที่ Facebook Metier Thailand หรือ อีเมล info@metierthailand.com